จำหน่ายหนังโหด 35 บาท

จำหน่ายหนังโหด 35 บาท
DVD โหด 35 บาท

จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

มีคนแอบดู

วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2555

10 หนังสยองขวัญไทย ที่น่าดู

Top 10 หนังสยองขวัญไทย ที่น่าดู

( ที่ทุกคนควรหามาดู )









หนังสยองขวัญ เรื่องหวาดเสียว ลุ้นระทึกชวนขวัญหัวลุก

ถ้าเอ่ยถึงหนังสยองขวัญเอเชียเเล้ว ต้องยกให้ ญี่ปุ่น เกาหลี เเละ ไทย

เพราะหนังสยองขวัญเอเชียจะมีกลิ่นไอที่สยองขวัญที่แตกต่างจากตะวันตกอย่างสิ้นเชิง

ด้วยวัฒนธรรม ภาษา ชีวิตความเป็นอยู่ล้วนเเต่มีมนต์ขลัง เเละด้วยเหตุผลนี้เอง

เมื่อสะท้อนออกมาเป็นภาพยนตร์สยองขวัญเเล้ว ล้วนเเต่น่าดูเเละน่าติดตาม

ดังนั้นหนังสยองขวัญไทย จึงเป็น 1 หนัีงสยองขวัญของเอเชีย ที่เข้าไปอยุ่ในใจใครหลายคน

วันนี้เรามาดูกันว่า 10 สยองขวัยไทยที่น่าดูมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย






อันดับ 10

the mother - เฮี้ยน


ภายใต้ท้องฟ้าที่เงียบสงบดูเหมือนว่าบางสิ่งที่เป็นตัวแทนของความเศร้าผิดหวัง

และเต็มไปด้วยความอ่อนแอ ท้อแท้สูญสิ้นซึ่งความหวัง นอนทอดตัวสงบนิ่งอยู่ในเบื้องลึก

แห่งก้นบึงของห้วงอารมณ์ที่โอบอุ้มไปด้วยความหวาดกลัวที่แสนเปราะบางกำลังมีการเคลื่อนไหว

อยู่อย่างเงียบๆ ราวกับกำลังเรียกร้องและรอคอยให้ใครบางคนที่พร้อมจะย่างกรายเข้ามาสัมผัสถึง

ดวงจิตที่อัดแน่นไปด้วยร้อนรุ่มกระวนกระวายไปทุกอณูแห่งความรู้สึกคลั่งแค้นใจเพื่อรอการสะสาง

บัดนี้ใกล้มาถึงจุดสิ้นสุดแห่งการเดินทางเป็นการมาถึงของอาการที่คนทั่วไปรู้จักกันดีที่ถูกเรียกขานสั้นๆ ว่า "เฮี้ยน"



หลังจากโดนทำร้ายจากเอเยนต์ค้ายาเสพติดจนหมดสติ.. ปอ (ทราย เจริญปุระ)

ตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง โดยได้รับการดูแลอย่างดีจากหมอฤดี (อรัญญา นามวงศ์)

พร้อมกับพบว่าตนเองตั้งท้องได้ 10 สัปดาห์แล้ว

ท่ามกลางสถานการณ์สับสนวุ่นวายที่ยากเกินตั้งรับ ปอพยายามจะกำจัดลูกในท้อง

แต่กลับต้องเผชิญหน้ากับสิ่งลี้ลับที่ยากเกินอธิบายภาพสยดสยองของหญิงสาว ปริศนา (ปรางทอง)




---------------------------------------------------------------------------------------------










อันดับ 9

Ghost Game - ล่า-ท้า-ผี


เรื่องราวเกิดขึ้นในซีซั่นที่ 2 ของเรียลลิตี้ โชว์ โดยทีมงานได้รวบรวมคน 11 คน

ที่พร้อมจะเผชิญหน้ากับทุกสิ่งลี้ลับ โดยพวกเขาจะต้องใช้ชีวิตร่วมกัน ในพิพิธภัณท์สงคราม

แห่งหนึ่งในประเทศกัมพูชา ซึ่งคนชุดสุดท้ายที่เคยเข้ามาเมื่อ 20 ปีที่แล้ว

ต่างต้องตายอย่างน่าสยดสยอง โดยไม่มีใครทราบสาเหตุ หลังจากนั้น...

ไม่มีใครกล้าเข้าไปที่นั่นอีกเลย

เหล่าผู้แข่งขันทั้ง 11 คน ประกอบไปด้วยหนุ่มสาว ซึ่งผ่านการคัดเลือกมาจากผู้สมัครอาชีพต่างๆ

สองคนในจำนวนนี้ คือ ดาว (น้ำตาล - ศุภัทรศิริ ปฐมนุพงษ์) แชมป์เก่าจากซีซั่นที่แล้ว

และ ยุทธ์ (วิทย์ - พชรพล จั่นเที่ยง) รองแชมป์ซึ่งเป็นคู่ปรับเก่าของดาว ทั้งสองจะต้องเข้าประลองเกม

กับผู้ท้าชิงหน้าใหม่อีก 9 คน คือ เจย์ (จีน - ธัญนันท์ มหาพิรุณ) ช่างภาพ,

แอ๊นท์ (แหม่ม - วัชรินทร์ จินะมุสิ) พริตตี้สาว, ยศ (ปอ - ปานเวทย์ ไสยคล้าย) ลูกคนทรงเจ้า,

มิค (เค - ทวีศักดิ์ ภมรพล) นักแสดงหนุ่ม, เกด (จุ้มจิ้ม - กิตติลักษณ์ จุลลัษเฐียร) เภสัชกร,

เข็มทิศ (อ๊อฟ - ปองศักดิ์ รัตนพงษ์) หนุ่มลูกไฮโซ, ขวัญ (แนม - ซีแนม สุนทร) นักศึกษาสาว

รวมทั้งสองศรีพี่น้อง กุ้ง (แนน - ณัชธน์กมล ก่อสุวรรณ) และ กั้ง (นุ่น - ชเนษฎ์ผกา ก่อสุวรรณ)

สิ่งเดียวที่น่าจะเป็นเหตุผลหลัก ของการมาเล่นเกมนี้ก็คือ เงินรางวัล 5 ล้านบาท

สำหรับผู้ชนะที่สามารถอยู่ได้เป็นคนสุดท้าย ซึ่งถือว่าเป็นเงินรางวัลสูงสุด อย่างที่รายการไหนๆ ไม่กล้าให้

เงิน 5 ล้านนี้เอง ที่ดึงพวกเขาทั้ง 11 คน ให้ต้องมาร่วมชะตากรรม ในพิพิธภัณท์สงครามแห่งนี้

ซึ่งไม่เพียงจะมีคนตายอย่างลึกลับเท่านั้น ในอดีตเมื่อครั้งสงครามล้างเผ่าพันธุ์

ที่นี่เคยเป็นคุกของเขมรแดงมาก่อน คุกที่ถูกสร้างขึ้นมา เพื่อทรมานและคร่าชีวิตคนบริสุทธิ์

ด้วยความทรมานในรูปแบบที่ไม่น่าเชื่อมากมาย และเกินกว่าที่ใครจะคิดถึง!

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ถ้าสถานที่นี้จะเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความรู้สึกเจ็บแค้น...

เกลียดชัง... และความอาฆาตที่ไม่ยอมไปผุดไปเกิด วิญญาณและความอาฆาตที่วนเวียนอยู่นี้

กำลังถูกท้าทาย ซึ่งถือว่าเป็นจุดประสงค์หลักของเรียลลิตี้โชว์นี้

ด้วยการลบหลู่สารพัดวิธีจากผู้เข้าแข่งขันทั้ง 11 คน โดยไม่มีผู้แข่งขันคนใดรู้มาก่อนเลยว่า

มันคือสิ่งที่จะดึงพวกเขา ให้เผชิญหน้ากับวิญญาณร้ายอันน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง

ภารกิจในการท้าทายและลบหลู่ของพวกเขา ทั้ง 11 คน อยู่ท่ามกลางการใช้ชีวิตร่วมกัน

อย่างหวาดระแวงว่า สิ่งลี้ลับต่างๆ ที่พวกเขาต้องผจญนั้น เกิดจากการสร้างสถานการณ์ของผู้จัดรายการ

หรือว่ามาจากการกลั่นแกล้งของผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ...หรือแม้กระทั่งเกิดจากสิ่งลี้ลับจริงๆ กันแน่?





----------------------------------------------------------------------------------------------










อันดับ 8


The Body - บอดี้ศพ#19


ชลสิทธิ์ หรือ ชล (อารักษ์ อมรศุภสิริ) นักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ และเอ๋ (อรจิรา แหลมวิไล)

พี่สาวซึ่งเป็นนักศึกษาแพทย์ พักอาศัยร่วมกันในบ้านหลังหนึ่ง ชลรู้สึกถึงเหตุการณ์แปลกๆ

หลังจากที่เขาฝันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยม ชลจึงไปพบกับหมอจิ๊บ (วัสนัย ภคพงศ์พันธ์)

จิตแพทย์ แต่อาการก็ยังไม่ดีขึ้น อีกทั้งยังเห็นผีมาหลอกเขาด้วย เอ๋จึงแนะนำให้ชลไปปรึกษากับหมออุษา (กฤตธีรา อินพรวิจิตร)

จิตแพทย์ ซึ่งกำลังมีความสัมพันธ์อย่างระหองระแหงกับหมอสุธี (ปรเมศร์ น้อยอ่ำ) สามีของเธอ

เหตุการณ์ดำเนินไปจนกระทั่งชลเจอหลักฐานสุดท้าย คือ ตู้เก็บศพหมายเลข 19 ในโรงพยาบาล

เมื่อชลเปิดออก กลับพบว่าในตู้นั้นคือศพที่มีใบหน้าเหมือนกับชล ชลก็คือสุธีที่ป่วยเป็นอาการบุคลิกวิปลาส

และเป็นคนฆ่าดาราราย (ภัทรวรินทร์ ทิมกุล) ผู้หญิงที่ชลฝันเห็นมาตลอดนั่นเอง

ชลที่สุธีสร้างบุคลิกใหม่ขึ้นก็คือน้องชายของดารารายที่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ

ส่วนเอ๋เป็นคนที่สุธีสมมติขึ้นให้มีบุคลิกเหมือนดาราราย

ก่อนที่ดารารายจะหมดสติด้วยฤทธิ์ยาที่หมอสุธีวางเพื่อหมายจะฆ่านั้น

เธอได้ใช้การสะกดจิตสะกดด้วยเพลง "คิดถึงเธอทุกที...ที่อยู่คนเดียว"

เมื่อหมอสุธีได้ฟังเพลงนี้จะเปลี่ยนบุคลิกเป็นชลในทันที หมอสุธีได้นำร่างของดารารายในบ้านร้างแห่งหนึ่ง

เพื่อการล้างตัวและหั่นศพ แล้วนำไปทิ้งไว้ สุธีหนีความผิดที่ตนก่อไม่พ้น

ถูกจับกุมและขึ้นศาล กระนั้นบุคลิกของชลก็ยังติดตัวหมอสุธีไปตลอด

กระทั่งครั้งหนึ่งสุธีหนีจากรถควบคุมผู้ต้องขัง ถูกเหล็กที่หล่นใส่รถบรรทุกเสียบทะลุร่าง

จนต้องส่งโรงพยาบาล ณ ที่นั่น ผีดารารายได้คลายสะกดด้วยการดีดนิ้ว

และหมอสุธีได้รับความเจ็บปวดทรมานจากกรรมของตนในที่สุด




--------------------------------------------------------------------------------











อันดับ 7

Dorm - เด็กหอ



ชาตรี เด็กชาย อายุ 12 เรียน ม.1 เป็นเด็กไร้ความหมาย ที่พ่อของเขาส่งไปเรียนที่สายชลวิทยา

ที่จังหวัดชลบุรี อย่างฉุกละหุก ก็เพื่อที่ชาตรีจะได้พ้นไปจากบ้านไกลไปเสียจากพ่อ

เพราะชาตรีรู้ความลับของพ่อทั้งหมด เพื่อนของชาตรีได้พูดคุยเรื่องผีในโรงเรียนและเรื่องครู

ในตอนกลางคืนชาตรีรู้สึกปวดฉี่ขึ้นมา พอฉี่เสร็จชาตรีได้ยินเสียงอะไรบางอย่างเหมือนมันเคลื่อนที่ได้

แต่พอเข้าไปแล้วประตูก็เลยล็อก ชาตรีตกใจมากเลยอยากออกไป

จนสักพักประตูก็เปิดได้ ชาตรีวิ่งหนีไปหอพักจนเขารู้สึกกลัวมาก

แล้วชาตรี ก็ได้พบกับ วิเชียร เพื่อนร่วมห้องที่ดูเหมือนจะรู้อะไร ๆ

ในโรงเรียนไปเสียทุกอย่าง และแล้วมิตรภาพระหว่างเพื่อนทั้ง 2 ก็ก่อตัวขึ้น

ก่อนที่พบว่าแท้ที่จริงแล้ว วิเชียร ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา ๆ แต่พอเวลาผ่านไป

ดูเหมือนว่าชาตรีก็เริ่มผูกมิตรกับวิเชียรได้ เพราะว่าทั้งสองคนเหมือนกันอยู่อย่างหนึ่ง

นั่นก็คือ "ไม่มีใครเห็นว่ามีตัวตน" อย่างตอนที่ชาตรีคิดจะทำอะไรแผลง ๆ

เพื่อถอดวิญญาณมาช่วยวิเชียร วิเชียรก็พูดว่า "สัญญากับฉันสิ ว่าจะไม่ทำอะไรบ้า ๆ

เพื่อช่วยฉัน ชาตรี สัญญากับฉันสิ" ชาตรีไม่ตอบ กลับยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นจนถึง

เวลา 6 โมงเย็น มันคือ เวลาตายของวิเชียร แต่วิเชียรต้องกลับไปที่สระว่ายน้ำนั้น

เพื่อลิ้มรสความทรมานจากการจมน้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกวัน ชาตรีเจ็บปวดมากที่ได้เห็น

วิเชียรทรมานแบบนั้น แต่ตัวเขากลับได้แต่ยืนมอง แตะต้องอะไรวิเชียรไม่ได้

จนในที่สุด ชาตรีก็ไปดมสารอีเทอร์ มากเกินขนาด จนในที่สุดวิญญาณก็หลุดออกจากร่าง

แล้วชาตรีก็ไม่คิดจะเหลียวมองดูร่างของตนเองเลยแม้แต่น้อย

เขาวิ่งไปทางสระว่ายน้ำนั้นโดยไม่สนใจอะไรอีกแล้ว และชาตรีก็ช่วยวิเชียรขึ้นมาจากสระจนได้

และต่อจากนั้นเอง ที่วิเชียรลาชาตรีไปเกิด แค่ลากันสั้น ๆ

แต่สายตาสื่อความหมายว่าทั้งสองคนผูกพันกันมากมายเพียงใด




--------------------------------------------------------------------------------------------









อันดับ 6

HudchewMan's Rama - นางนาก

( เวอร์ชั่น วินัย ไกรบุตร / ทราย เจริญปุระ )



เป็นเรื่องราวที่ได้เเรงบันดาลใจจากเรื่องจริง ในจุลศักราช 1230 ปีมะโรงสัมฤทธิศก

ปลายแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งนั้นเกิดสุริยคราสเต็มดวง

ร่ำลือกันว่าเป็นอาเพศอันใหญ่หลวง หลังจากนั้นไม่นานสยามประเทศก็ผลัดแผ่นดินสู่รัชสมัยพระพุทธเจ้าหลวง

ที่ตำบลพระโขนง ผัวเมียคู่หนึ่งยืนร่ำลากันที่ศาลาด้วยความอาลัย นายมากผู้ผัวถูกบาดหมายเกณฑ์เลข

ไพร่ไปเป็นทหารที่บางกอก ฝ่ายเมียคือนางนาก ขณะนั้นกำลังตั้งครรภ์อ่อนๆ

การลาจากครั้งนี้สร้างความโทมนัสแก่สองผัวเมียยิ่งนัก ด้วยมิรู้ว่าจะได้กลับมาพบกันอีก

นางนากเอาแต่ร่ำไห้ปิ่มว่าจะขาดใจตาย ในยามที่เรือของผัวลับคุ้งน้ำไป

นายมาก ถูกเกณฑ์ไปรบในสงครามปราบฮ่อ ณ สมรภูมิอันกันดาร ได้รับบาดเจ็บสาหัส

จึงถูกส่งตัวไปรักษากับ สมเด็จพุฒาจารย์โตที่วัดระฆัง นางนากไม่ได้ข่าวคราวผัวเลยตั้งแต่จากกันไป

ได้แต่เพียรมายืนรอผัวที่ศาลาท่าน้ำแห่งนั้นทุกเมื่อเชื่อวัน ขณะที่ครรภ์ของนางก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

จนล่วงเข้าเดือนที่ 9 นางนากเจ็บท้องจะคลอดลูก ทิดอ่ำ ผู้เป็นเกลอ นายมาก

เป็นธุระตาม ยายเอิบ หมอตำแยมาทำคลอดแต่ลูกในท้องก็หายอมออกมาไม่

นางนากเบ่งลูกด้วยความเจ็บปวดจนในที่สุดก็ขาดใจตายไปทั้งแม่และลูก

ฝ่ายนายมาก เมื่อบาดแผลหายดีแล้วก็ให้เป็นห่วงเมีย จึงอำลาสมเด็จโตกลับบ้านที่พระโขนง

ระหว่างทางนายมากให้ผิดสังเกตนัก ด้วยทั่วทั้งบางพระโขนงเงียบเหงาวังเวงผิดหูผิดตา

ครั้นมาถึงที่ศาลาริมน้ำก็พบนางนากอุ้มลูกมายืนรอผัวอยู่นายมากก็ดีใจที่ได้พบลูกเมีย

โดยหาเฉลียวใจไม่ว่าเมีย และลูกของตนนั้นเป็นผีหาชีวิตไม่แล้ว


นายมาก อยู่กินกับ ผีนางนาก ฉันผัวเมียโดยมิได้ระแคะระคายใดๆเลย

ผีนางนากเฝ้าปรนนิบัติผัวเฉกเมื่อครั้นยังมีชีวิตอยู่ ความรักความอาลัยของนางนั้น

ยิ่งใหญ่เกินกว่ากฎอนิจจัง หากนางเองก็สำเหนียกได้ว่าวันหนึ่งนายมากจะต้องรู้ความจริง

ว่านางตายไปแล้ว และวันนั้นทั้งสองผัวเมียก็จะต้องจำพรากจากกันไปชั่วนิรันดร์

นางจึงทำทุกวิถีทางเพื่อมิให้นายมากรู้ ขณะที่ชาวบ้านละแวกนั้นเริ่มตายลงทีละคน

รวมทั้ง ทิดอ่ำก็ตายลงอย่างลึกลับ และเสียงล่ำลือถึงอิทธิฤทธิ์

ผีนางนากก็ระบือไปทั่วบางพระโขนง จนไม่มีใครกล้าออกไปไหนเลยในเวลากลางคืน

ทั่วทั้งบางอยู่ในความสะพรึงกลัว และแล้วคืนที่ นายมาก รู้ความจริงก็มาถึง

เมื่อผีนางนากเผลอนำมะนาวตกลงใต้ถุนเรือน นายมากแอบเห็นเมียแสดงอิทธิฤทธิ์ยื่นมือยาวลง

ไปเก็บผลมะนาวนั้น ก็รู้ทันทีว่าเมียของตนเป็นผี

นายมากตกใจกลัวจึงหนีไปซ่อนตัวที่วัดมหาบุด เวลานั้นญาติทิดอ่ำผู้โกรธแค้น

ได้ยกพวกมาเผาเรือนนางนาก ผีนางนากจึงปรากฏกายขึ้นและอาละวาดฆ่าคนตายไปมากมาย

ก่อนจะออกติดตามหาผัวไปถึงวัดมหาบุด จนพระเณรแตกตื่นตกใจกันไปทั่ว ร้อนถึง

สมเด็จโตวัดระฆังต้องออกเดินทางมาปราบ ท่านไปที่หลุมศพ นางนากจึงสงบลง

สมเด็จโตจึงเจาะเอากระดูกหน้าผากศพชิ้นหนึ่งเพื่อสะกดวิญญาณนางนากไว้ และนำติดตัวไปกับท่านตลอดเวลา

นับตั้งแต่วันนั้นมาไม่มีใครได้ยินข่าว ผีนางนากออกอาละวาดอีกเลย

นายมากได้บวชเป็นภิกษุเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่เมียรักในสัมปรายภพ

ส่วนกระดูกหน้าผากชิ้นนั้นภายหลังได้หายสาปสูญไปเหลือไว้แต่เพียงเรื่องเล่าขาน

ถึงความรักความภักดีต่อผัวของนางนาก ที่ยังคงอยู่ตราบทุกวันนี้






--------------------------------------------------------------------------------












อันดับ 5

PHOBIA 2 - ห้าแพร่ง


ห้าแพร่ง ( Phobia 2) เป็นภาพยนตร์แนวสยองขวัญ โดยมีโครงเรื่องเกี่ยวกับผี

และความกลัวเช่นเดียวกับ สี่แพร่ง แต่จะถ่ายทอดผ่านภาพยนตร์สั้น 5 เรื่อง

อย่าแปลกใจ... ถ้าคุณเสพติดความกลัว” นี่คือคำโปรยของหนังผีเรื่องนี้ที่คงไม่ต้องอธิบายอะไรกันมากนัก

เพราะนี่คือหนังที่มีกระแสแรงที่สุดและถูกพูดถึงมากที่สุดอยู่ในขณะนี้ GTH ขอต่อยอดความสำเร็จจาก ‘สี่แพร่ง’

หนังผีรวมเรื่องสั้น 4 เรื่อง ปีก่อน (พ.ศ.2551) ที่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม

ด้วยการกลับมาอีกครั้งกับความกลัวรูปแบบใหม่ใน ‘5 แพร่ง’ หนังผี 5 เรื่อง จาก 5 ผู้กำกับ




เปิดตัวด้วยเรื่อง ‘หลาวชะโอน’ (Novice)

กำกับโดย ปวีณ ภูริจิตปัญญา (ยันต์สั่งตาย, บอดี้ ศพ#19)


สำหรับ เป้ (เก้า-จิรายุ ละอองมณี) เด็กชายวัยสิบสี่ ‘กรรม’ เป็นเรื่องเชยโคตรๆ

เขาลงมือปาหินใส่รถกระบะแถวบ้านเพียงเพราะอยากได้มือถือใหม่ เมื่อเหยื่อตาย

แม่พาเป้หนีไปบวชในวัดป่าห่างไกล ภายใต้ผ้าเหลืองเป้พ้นจากมือกฎหมาย

แต่กลับตกอยู่ในเงาของมืออีกมือหนึ่ง มันเอื้อมเข้ามาหาเขาช้าๆ ทว่าไม่หยุดยั้ง

นั่นเพราะ ‘กรรม’ ไม่ใช่พ่อ ไม่ใช่แม่ใคร มันไม่รู้จักคำว่า ‘ให้อภัย’








เรื่องที่ 2 ‘ห้องเตียงรวม’ (Ward)

กำกับโดย วิสูตร พูลวรลักษณ์ (ผู้อำนวยการสร้าง ‘นางนาก’)



หนุ่มทะเล้นขี้เล่นคนหนึ่ง (แดน-วรเวช ดานุวงศ์) มอเตอร์ไซค์คว่ำขาหักทั้งสองข้าง

จากห้องฉุกเฉินเขาถูกย้ายไปสู่ห้องเตียงรวม ทั้งๆที่อยากนอนห้องพิเศษ

และในห้องรวมนี้ คนไข้เตียงติดกับชายหนุ่มเป็นร่างไร้สติของชายชราอาการโคม่า

ที่นอนรอวันปิดอ็อกซิเจนมาแล้วร่วมเดือน แต่เหมือนกับจะรู้ว่าเพื่อนหนุ่มหน้าใหม่เป็นคนขี้กลัว

คืนนั้นชายแก่จึงลุกขึ้นมาเยี่ยมเขาถึงข้างเตียง







เรื่องที่ 3 ‘Backpackers’


กำกับโดย ทรงยศ สุขมากอนันต์ (เด็กหอ, แฟนฉัน)


คู่รักญี่ปุ่นคู่หนึ่งฉลองเรียนจบด้วยการแบ็กแพ็กตะลุยเมืองไทย ขากลับจากสมุยพวกเขา

ใช้วิธีโบกรถเข้ากรุงเทพฯ แต่โบกไม่ได้สักคัน หนุ่มยุ่นตัดสินใจใช้แบงก์พันเป็นรางวัลล่อ

รถพ่วงคันหนึ่งจึงจอดรับ โชคร้ายที่สิ่งที่ซ่อนอยู่หลังตู้คอนเทนเนอร์และใบหน้ายิ้มแย้ม

ของคนขับกับเจ้าเด็กรถ (แน๊ก-ชาลี ไตรรัตน์) เป็นบางสิ่งบางอย่างที่จะทำให้อะดรีนาลีน

ของทุกคนต้องคลั่ง







เรื่องต่อมา ‘รถมือสอง’ (Salvage)

กำกับโดย ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ (เที่ยวบิน 224, ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ, แฝด)



คนมีประวัติ รถก็มีประวัติ ยิ่งเป็นรถมือสองประวัติศาสตร์ของแต่ละคันอาจ

ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าของใหม่อยากรู้ กลางดึกสงัดหลังเต็นท์ปิด นุช (นิโคล เทริโอ)

เจ้าของเต็นท์รถมือสองขนาดใหญ่ย่านชานเมืองพบว่าลูกชายของเธอหายตัวไป

ท่ามกลางแถวรถนับร้อยคัน เทปกล้องวงจรปิดจับภาพได้ว่าลูกของเธอแอบเข้าไป

เล่นในรถคันหนึ่งที่เธอเพิ่งรับซื้อมา...แล้วไม่กลับออกมาอีกเลย







เรื่องสุดท้าย ‘คนกอง’ (In the End)

กำกับโดย บรรจง ปิสัญธนะกูล (คนกลาง,ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ, แฝด)



เต๋อ, เผือก, ชิน และ เอ เป็นทีมงานหนังผีที่การถ่ายทำดำเนินมาถึงคิวสุดท้าย

คืนสุดท้าย ฉากสุดท้าย เหลือเพียงสองช็อตสุดท้าย แต่แล้วนักแสดงสาวหน้าใหม่

ที่รับบทเป็นผีเกิดหัวใจวายตายกลางกองถ่าย ซวยสุดยอดที่ก่อนหน้านั้นเต๋อดันไปเสร่อ

ทำเท่สอนเธอว่า “The show must go on” เธอจึงกลับมาเพื่อแสดงต่อ

ทั้งสี่จึงต้องถ่ายหนังผี ที่มีผี เล่นเป็นผี ให้จบให้จงได้...โดยห้าม ‘พี่ช่า’ (มาช่า วัฒนพานิช)

นางเอกของหนังรู้ความจริงเป็นอันขาด!






--------------------------------------------------------------------------------------











อันดับ 4

The Unseeable - เปนชู้กับผี




เนื้อเรื่องเกิดขึ้นในสยาม ปี พ.ศ. 2477 นวลจัน สาวตั้งครรภ์เดินทางเพื่อตาม

หาสามีที่หายตัวไปของเธอ เธอได้ขอเข้าพักอาศัยในคฤหาสน์ของแม่ม่าย

ชื่อว่า รัญจวน นอกจากเธอแล้ว ผู้คนในคฤหาสน์ยังมีแม่บ้านใหญ่ซึ่งสวมชุดดำปิดคอตลอดเวลา

เธอเป็นผู้คอยดูแลคฤหาสน์ชื่อ สมจิตและสาวใช้ชื่อ ช้อยซึ่งเป็นผู้ที่คอยช่วยเหลือนวลจัน

ในไม่ช้า นวลจันก็ค้นพบว่าในคฤหาสน์มีเรื่องราวอันน่ากลัวซุกซ่อนอยู่

รวมถึงความไม่ชอบมาพากลของบรรดาผู้พักอาศัยในคฤหาสน์แห่งนี้











------------------------------------------------------------------------------------------










อันดับ 3

Phobia - สี่แพร่ง

หนังเรื่อง สี่แพร่ง เองก็มีรูปแบบที่ไม่ต่างไปจากรายการเล่าเรื่องผีในรายการพี่ป๋อง

ที่มี 4 เรื่องเล่าจาก 4 ผู้กำกับมาผลัดกันเล่าทีละคน ดั่งเป็นเรื่องเล่าลี้ลับที่ยิ่งเล่าก็ยิ่งขนลุก

ยิ่งพูดก็ยิ่งกลัว จนบางทีพอจะถึงจุดไคลแม็กซ์สำคัญอย่าเผลอให้มีอะไรตกใส่พื้น

โครมครามเข้าเป็นอันขาด เพราะเดี๋ยวพาลจะทำให้คนฟังสะดุ้งช็อคกันได้ง่าย ๆ

และเมื่อ สี่แพร่ง เล่าจบครบทุกตอนแล้ว ผลที่ได้ก็ไม่ต่างกับการฟังเรื่องผีจากรายการพี่ป๋อง

นั่นก็คือกลับมาบ้านแล้วคืนนั้นยังต้องนอนเปิดไฟจนถึงเช้าเหมือนกัน

หากมีการแบ่งระดับความน่ากลัวของหนังผีที่เคยมีมา สี่แพร่ง ต้องถือว่าเป็นหนังผีที่มี

ดีกรีความน่ากลัวอยู่ในขั้นเกรดเอ ทั้งยังเป็นหนังผีที่ทำหน้าที่ของหนังผีได้สมบูรณ์แบบ

กล่าวคือสามารถสร้างอารมณ์ร่วมให้กับผู้ชมไปพร้อมกับใส่ช่วงจังหวะผ่างหรือ

จุดไคลแม็กซ์ให้คนดูตกใจกลัวและกรีดร้องออกมา ที่สำคัญคือพล็อตหรือเรื่องราวของ

4 เรื่องใน สี่แพร่ง ที่มีลักษณะเป็นหนังสั้นก็สามารถทำให้คนดู(เกือบ)

เชื่อและเอื้อต่อการนำมาทำเป็นหนังผีอย่างลงตัว




แพร่งที่ 1 เรื่อง “เหงา” (Happiness)

ความเหงา สามารถทำให้ ผู้หญิง ทำอะไรโง่ๆได้หลายอย่าง ดังเช่นสาวออฟฟิศในเรื่องนี้

เธอเหงา เธอตกงาน เธอโดนทิ้ง เธอหดหู่สุดขีด เมื่อมีข้อความเข้ามาในมือถือว่า “อยากรู้จัก”

เธอจึงเริ่มต้น SMS กับคนที่เธอไม่คาดถึงว่าเขาคือ...




แพร่งที่ 2 เรื่อง “ยันต์สั่งตาย” (Tit for Tat)

จินตนาการถึงวิธีการเอาคืนแบบเด็กๆ อย่างการเขียนกระดานดำล้อชื่อพ่อเพื่อน

แล้วลองจินตนาการถึงการเอาคืนของเด็กช่างกลกลุ่มนี้ ที่เลือกวิธีเขียนยันต์สั่งตาย

แช่งคนที่พวกเขาเกลียดขี้หน้า จินตนาการดูซิว่า ดีกรีความโหดมันจะสุดขั้วกว่ากันแค่ไหน




แพร่งที่ 3 เรื่อง “คนกลาง” (In the Middle)

วัยรุ่นกลุ่มหนึ่งออกไปตั้งเต๊นท์กลางป่าลึก พวกเขาล้อมวงเล่าเรื่องผี

ทำกิจกรรมห่ามๆไร้สาระตามขนบหนังสยองขวัญทุนต่ำทุกประการ

แต่ไฉนผีที่พวกเขาประสบพบเจอ กลับเป็นผีที่แหกธรรมเนียมปฏิบัติผี

ในหนังทุกเรื่องที่พวกเขาเคยดูมา





แพร่งที่ 4 เรื่อง “เที่ยวบิน 224” (The Last Flight)

รวมมิตรสุดยอดของอาการ 4bia (Phobia) ทุกรูปแบบ นี่คือเที่ยวบินที่ไม่เหมาะสำหรับ

คนกลัวที่แคบ เสียงดัง แรงสั่นสะเทือน ความกดอากาศ ความมืด และ ศพ

ทั้งหมดนี้รอต้อนรับแอร์โฮสเตสสาวคนหนึ่ง ในไฟลท์ที่เธอต้องเผชิญมันเพียงลำพัง





-----------------------------------------------------------------------------------------










อันดับ 2


Art of the Devil - ลองของ ภาค 1


ครูพนอ (นภคปภา นาคประสิทธิ์ ) สาวสวยรวยเสน่ห์ ชีวิตครูบาอาจารย์บ้านป่า

ชีวิตของเจ้าหล่อน ไม่ธรรมดาคงเหมือนพร้อมกับอาจารย์ทั่วไป แต่ว่าความสวยความสาวของเธอ

พร้อมนำมาซึ่งเคราะห์ร้าย จากใครหลายคนที่รุมรักใคร่ชอบพอเธอ

มนต์ดำ ไสยศาสตร์ คาถา ถูกถ่ายทอดผ่านการฝึกฝนจากตัวเธอ เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ

เเม้จะต้องเเลกด้วยอะไรก็ยอม



-------------------------------------------------------------------------------------------









อันดับ 1


THE SHUTTER - เดอะชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ


หนังสยองขวัญของเมืองไทย อันดับ 1 ตลอดกาล



ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ เป็นภาพยนตร์ไทยในปี 2547 กำกับโดย บรรจง ปิสัญธนะกูล

และ ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ นำแสดงโดย อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม ณัฐฐาวีรนุช ทองมี และ อชิตะ วุฒินันท์สุระสิทธิ์

สามารถทำรายได้ในประเทศไทย 120 ล้านบาท ยังขายลิขสิทธิ์ได้ใน 30 ประเทศทั่วโลก

สร้างรายได้ ฉายในสิงคโปร์ได้ 33 ล้าน ที่เกาหลีติดอันดับ 5 หนังทำเงิน

ฉายที่บราซิล 4 สัปดาห์แรก ทำรายได้สูงถึง 100 ล้านบาท ชัตเตอร์ยังได้รับรางวัล Best Asian Film

จากเทศกาล Fantasia Film Festi val 2005 ที่แวนคูเวอร์ ประเทศแคนาดา

และรางวัลหนังแฟนตาซีที่ดีที่สุดในงาน Fantastic's Arts Festival of Gerardmer ประเทศฝรั่งเศส

เเละยังถูกซื้อไปรีเมคจากหลายๆชาติ รวมทั้งฮอลีวูีดด้วย


คุณเคยสังเกตุภาพถ่ายที่คุณมีอยู่หรือไม่ บางทีอาจมี 'บางสิ่ง' ซ่อนอยู่โดยที่คุณไม่รู้ตัว...

ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ เป็นเรื่องราวของ ธรรม์ (อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม) ช่างภาพหนุ่มมาดเซอร์

กับ เจน (จ๋า-ณัฐฐาวีรนุช ทองมี) แฟนสาวของเขา เรื่องเริ่มต้นขึ้น เมื่อทั้งคู่ขับรถชนหญิงสาวคนหนึ่งอย่างแรง แ

ล้วตัดสินใจขับหนีไป ไม่นานทั้งคู่ก็ต้องพบกับเหตุการณ์ประหลาด เมื่อภาพถ่ายของธรรม์นั้น

ถ่ายติดแสงเงาประหลาดมาด้วย แรกเริ่มเขาก็คิดเพียงว่ามันเป็นแค่รูปเสีย

แต่แล้วเขาก็พบว่า มันมีอะไรบางอย่างมากกว่านั้น คือมีเงาคล้ายกับใบหน้าของผู้หญิงติดมาในรูปด้วย

ทั้งคู่เริ่มค้นพบว่า เงาที่ปรากฏในภาพทั้งหลายนั้น ..มีบางอย่างที่เชื่อมโยงถึงกัน!

ทั้งสองจึงเริ่มออกค้นหาว่า หญิงสาวในภาพคือใคร และต้องการสื่อสารอะไรกันแน่..





นี่เป็นเพียงเเค่ยกตัวอย่างหนังสยองขวัญไทยมาเพียงเเค่ 10 เรื่องเท่านั้น

ยังมีหนังสยองขวัญไทยอีกหลายเรื่องที่น่าดู หวังว่า 10 เรื่องนี้จะถูกใจใครหลายๆคนนะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น